"ไฮบริด" VS 'EV' รถรุ่นไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คุณ!

CARS24
CARS24
| อ่าน 3 นาที

นี่คือคำถามสุดฮิตของ พ.ศ.นี้ อนาคตและการใช้พลังงานทดแทน พร้อมทั้งรักษ์โลก มาแรงสุดๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา เราเคยได้ยินคำว่า รถยนต์ไฮบริดมายาวนานเกินสิบปี และเมื่อสองสามปีที่แล้วคำว่า รถยนต์ไฟฟ้า 100% EV ก็กลายเป็นประเด็นร้อนมาตลอดจนปัจจุบัน

เชื่อว่าหลายคนยังสองจิตสองใจว่าจะเอารถแบบไหนดี จะซื้อรถ EV ไปเลยก็กลัวไฟฟ้าจะไปหมดกลางทาง หาที่ชาร์จไม่ได้ หรือต้องเสียเวลาชาร์จกันหลายชั่วโมง แต่พอจะเอาไฮบริดก็ต้องดูแลกันถึงสองระบบ CARS24 มีข้อมูลมาให้ช่วยตัดสินใจ ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักรถยนต์ทั้งสองแบบกันก่อน

รถยนต์ไฮบริด Hybrid electric vehicle (HEV)

เทคโนโลยีไฮบริดทำงานแบบน้ำมันเชื้อเพลิงผสมพลังงานไฟฟ้าหรือ "ลูกผสม" โดยเครื่องยนต์หลักที่ใช้จะเป็นตัวเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำงานผสมผสานกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และระบบจะเลือกทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์เองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีข้อดีที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อคนและโลก คือ Zero Emission หรือก็คือรถยนต์ที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ

ขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือออกตัว มอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นกำลังหลัก โดยการส่งพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอย่างมาก

เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ ทั้งระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า จะทำงานร่วมกันในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่ไม่จำเป็น นอกจากนั้นพลังงานส่วนเกิน เช่น เมื่อขณะชะลอความเร็วรถ ยังถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับไปสะสมในแบตเตอรี่ เป็นเหตุผลให้รถยนต์ไฮบริดไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟจากภายนอก

ขณะเร่งเครื่องยนต์เพื่อแซงหรือทำความเร็ว มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนเครื่องยนต์แบบเต็มกำลัง เพื่อส่งอัตราเร่งให้สูงสุดในพริบตา ลดปัญหาการรอรอบ หรือการเร่งไม่ขึ้น และยังทำให้ลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้อีกทางหนึ่ง

CARS24 คัด 5 รถยนต์ไฮบริดที่น่าสนใจในปี 2022 (เริ่มจากราคาต่ำสุดไล่ไปนะครับ)

  1. Honda City e:HEV (ราคาประมาณ 849,000 บาท)

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า และมีการเครมอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงสูงถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน Honda SENSING แบบเดียวกับที่พบใน Civic และ Accord โดยมีฟังก์ชั่นการทำงาน 5 ฟังก์ชั่น ได้แก่ ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน (RDM with LDW), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Honda City e:HEV RS

  1. Haval Jolion (ราคาเริ่มต้น 879,000 บาท)

รถอเนกประสงค์ในกลุ่ม B-SUV ที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มแบบโมดูลาร์ GWM Lemon แบบเดียวกับ H6 Hybrid ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ชูจุดเด่นด้วยตัวถังขนาดใหญ่กว่าคู่แข่ง กระจังหน้าทรง Star Matrix หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ที่ออกแบบมาสำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 กม./ลิตรมี 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Tech, Pro และ Ultra

  1. Nissan Kicks (ราคาเริ่มต้น 949,000 บาท)

Nissan Kicks รถยนต์ SUV ขนาดเล็กตัวใหม่ของ Nissan เครื่องยนต์ e-POWER อีกหนึ่งรูปแบบของไฮบริดที่เปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า 100% แล้วเก็บสะสมไว้ที่แบตเตอรี่ ส่งผ่านไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 95 กิโลวัตต์ เพื่อขับเคลื่อน ให้พลังได้ 122 แรงม้า เทคโนโลยี e-Power ใน Nissan Kicks ประกอบไปด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) และอุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทีผลิตกระแสไฟฟ้าจากเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 1.2 ลิตร 12 วาล์ว 3 สูบ แถวเรียงแบบ DOHC  ซึ่งได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย Nissan Kicks e-POWER

  1. Corolla Cross Hybrid (ราคาประมาณ 1,019,000 บาท)

รถครอสโอเวอร์ SUV เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับรถยนต์ไฮบริดในระดับราคาที่จับต้องได้ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 53 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า ทางโตโยต้าการันตีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น โดยราคาเริ่มต้นของ Corolla Cross ไฮบริด จะเป็นรุ่น Hybrid Smart ที่มาพร้อมเกียร์ E-CVT

  1. MG HS PHEV (ราคาประมาณ 1,359,000 บาท)

รถยนต์ compact SUV ระบบ Plug-in Hybrid ให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร โดยแยกเป็นกำลังจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์เป็นแบบ EDU II - 10 Speeds สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ภายในเวลา 7.5 วินาที ราคาจำหน่าย NEW MG HS PHEV

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% Electric vehicle (EV)

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เกิดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี ใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยวิธีการทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% นั้น ไม่ได้มีความละเอียดและซับซ้อนเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มีองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนเพียง 3 ส่วนเท่านั้น แต่ทั้งสามส่วนนี้ได้ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เต็มประสิทธิภาพ คือ  

  • แบตเตอรี่ พลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จเข้ามา จะถูกเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ ซึ่งปัจจุบันแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า คือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากและใช้งานได้ทนทานขึ้น
  • อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า มีหน้าที่ควบคุมและแปลงกระแสไฟ จากพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อส่งพลังงานต่อไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า
  • มอเตอร์ไฟฟ้า ใช้ในการส่งพลังงานที่ได้มาจากตัวแปลงกระแสไฟฟ้า ส่งต่อไปยังเพลาเพื่อให้เกิดพลังงานในการขับเคลื่อน เป็นมิตรกับผู้คนและไม่สร้างมลภาวะต่อโลก ใช้พลังงานทางเลือกที่ดีต่อโลกมาเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อนจึงทำให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าตัวนี้กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในอนาคตต่อไป

รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่น่าสนใจในปีนี้ CARS24 คัดมา 5 รุ่น (เริ่มจากราคาต่ำสุดไล่ไปนะครับ)

  1. MG EPZ (ราคา 988,000 บาท)

ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กม./ชม. ด้านแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออน มีความจุ 50.3 kWh ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ไกล 380 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ระบบการชาร์จไฟของ MG EP 2021 ถ้าชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-100% แบบ AC ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชม. 15 นาที นอกจากนี้ยังมีระบบชาร์จเร็ว หรือ Quick Charge โดยชาร์จแบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 จะให้พลังงานตั้งแต่ 0-80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที

  1. ORA Good Cat (ราคาเริ่มต้น 989,000 บาท)

รถพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกของค่าย GWM เป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าของตระกูลแมว ORA ตัวถังแบบ Hatchback 5 ประตู ที่มากับรูปลักษณ์สุดน่ารัก แบตเตอรี่มีให้เลือก 2 ขนาด ที่วิ่งได้ไกล 400 - 500 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ระบบขับเคลื่อนจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังพละกำลัง 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้ความเร็วสูงสุด 152 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน  3.8 วินาที ในรุ่น 500 ULTRA จะมากับแบตเตอรี่ลิเธียม Ternary ขนาด 63.139 kWh ที่ให้ระยะทางการวิ่ง 500 กม. ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ 10 ชม. มาพร้อมระบบและชาร์จเร็วกระแสตรง DC 0-80% ใน 60 นาที และ 30-80% ใน 40 นาที

  1. Nissan Leaf (ราคาประมาณ 1,990,000 บาท)

ใช้ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า e-powertrain แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนรุ่นใหม่ ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่ให้ความจุพลังงานถึง 40 kWh มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น EM 57 ให้กำลังสูงสุด 110 kW หรือ 149 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 320 นิวตันเมตร ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 7.9 วินาที และเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถขับได้ระยะทางสูงสุดถึง 311 กม. ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ในเวลา 12 ชม. และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชม. มาพร้อมระบบชาร์จด่วนที่จะให้กำลังไฟจาก 0-80% ในเวลา 40 นาที

  1. MINI Cooper SE (ราคาประมาณ 2,290,000 ล้านบาท)

มาพร้อมกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม คาดด้วยเส้นสีเหลือง กับโลโก้ตัว E ที่บ่งบอกว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร  เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม. ด้านแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไออน ขนาด 32.6 kWh ให้ระยะทางวิ่งได้ไกล 217 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 2.5 ชม. และเต็ม 100% ได้ใน 3.5 ชม. หากชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 Kw แต่ถ้าชาร์จจากสถานีที่เป็นหัวชาร์จแบบ DC fast-charging สามารถชาร์จได้ถึง 80% ในเวลา 36 นาที

  1. BMW iX3 M Sport (ราคาประมาณ 3,399,000 บาท)

มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพละกำลังสูงสุด 210 กิโลวัตต์/286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยสามารถนำมาใช้งานได้สูงสุด 74 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อขับเคลื่อนให้บีเอ็มดับเบิลยู iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ได้ภายใน 34 นาที

สรุป

  • รถไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ดีทั้งสองแบบ แต่ไฮบริดอาจจะราคาถูกกว่า ถึงอย่างนั้นก็ต้องดูแลทั้งสองระบบ คือเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ก็ต้องเปลี่ยนเช่นเดียวกัน
  • EV นั้นราคาขายตัวรถจะแพงกว่าเยอะ แต่ก็ไม่ต้องดูแลเรื่องของเหลวในเครื่องยนต์ เพราะเป็นระบบไฟฟ้าล้วน
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยกันทั้งคู่ แต่ EV จะไม่ส่งของเสียในอากาศเลย
  • ปัญหาเดียวคือ ระบบชาร์จไฟที่ใช้เวลานานกว่าเติมน้ำมันมาก และก็วิ่งได้ตามระยะที่กำหนด คือเหมาะกับใช้ในเมืองมากกว่า
  • ไฮบริดน่าจะตอบโจทย์คนไทยมากว่า แต่ในอนาคตอันใกล้ EV ก็เป็นทางเลือกที่สนใจมากๆ เพราะสุดท้ายอนาคตก็จะมาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในที่สุด แต่ก็อีกหลายปีครับ กว่าที่ทุกประเทศทั่วโลกจะเลิกใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลัก

ไม่ว่าคุณจะเลือกรถยนต์แบบไหน แต่ถ้าต้องการซื้อรถไฮบริดมือสอง คุณภาพดี สภาพนางฟ้า คัดพิเศษ ไมล์น้อย ไม่กรอไมล์ ไม่ชนหนัก CARS24 ของเราก็มีรถยนต์ให้เลือกเช่นกันครับ (คลิก)

นี่คือคำถามสุดฮิตของ พ.ศ.นี้ อนาคตและการใช้พลังงานทดแทน พร้อมทั้งรักษ์โลก มาแรงสุดๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา เราเคยได้ยินคำว่า รถยนต์ไฮบริดมายาวนานเกินสิบปี และเมื่อสองสามปีที่แล้วคำว่า รถยนต์ไฟฟ้า 100% EV ก็กลายเป็นประเด็นร้อนมาตลอดจนปัจจุบัน

เชื่อว่าหลายคนยังสองจิตสองใจว่าจะเอารถแบบไหนดี จะซื้อรถ EV ไปเลยก็กลัวไฟฟ้าจะไปหมดกลางทาง หาที่ชาร์จไม่ได้ หรือต้องเสียเวลาชาร์จกันหลายชั่วโมง แต่พอจะเอาไฮบริดก็ต้องดูแลกันถึงสองระบบ CARS24 มีข้อมูลมาให้ช่วยตัดสินใจ ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักรถยนต์ทั้งสองแบบกันก่อน

รถยนต์ไฮบริด Hybrid electric vehicle (HEV)

เทคโนโลยีไฮบริดทำงานแบบน้ำมันเชื้อเพลิงผสมพลังงานไฟฟ้าหรือ "ลูกผสม" โดยเครื่องยนต์หลักที่ใช้จะเป็นตัวเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำงานผสมผสานกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และระบบจะเลือกทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์เองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีข้อดีที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อคนและโลก คือ Zero Emission หรือก็คือรถยนต์ที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ

ขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือออกตัว มอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นกำลังหลัก โดยการส่งพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอย่างมาก

เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ ทั้งระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า จะทำงานร่วมกันในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่ไม่จำเป็น นอกจากนั้นพลังงานส่วนเกิน เช่น เมื่อขณะชะลอความเร็วรถ ยังถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับไปสะสมในแบตเตอรี่ เป็นเหตุผลให้รถยนต์ไฮบริดไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟจากภายนอก

ขณะเร่งเครื่องยนต์เพื่อแซงหรือทำความเร็ว มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนเครื่องยนต์แบบเต็มกำลัง เพื่อส่งอัตราเร่งให้สูงสุดในพริบตา ลดปัญหาการรอรอบ หรือการเร่งไม่ขึ้น และยังทำให้ลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้อีกทางหนึ่ง

CARS24 คัด 5 รถยนต์ไฮบริดที่น่าสนใจในปี 2022 (เริ่มจากราคาต่ำสุดไล่ไปนะครับ)

  1. Honda City e:HEV (ราคาประมาณ 849,000 บาท)

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า และมีการเครมอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงสูงถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน Honda SENSING แบบเดียวกับที่พบใน Civic และ Accord โดยมีฟังก์ชั่นการทำงาน 5 ฟังก์ชั่น ได้แก่ ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน (RDM with LDW), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) Honda City e:HEV RS

  1. Haval Jolion (ราคาเริ่มต้น 879,000 บาท)

รถอเนกประสงค์ในกลุ่ม B-SUV ที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มแบบโมดูลาร์ GWM Lemon แบบเดียวกับ H6 Hybrid ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ชูจุดเด่นด้วยตัวถังขนาดใหญ่กว่าคู่แข่ง กระจังหน้าทรง Star Matrix หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ที่ออกแบบมาสำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 กม./ลิตรมี 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Tech, Pro และ Ultra

  1. Nissan Kicks (ราคาเริ่มต้น 949,000 บาท)

Nissan Kicks รถยนต์ SUV ขนาดเล็กตัวใหม่ของ Nissan เครื่องยนต์ e-POWER อีกหนึ่งรูปแบบของไฮบริดที่เปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า 100% แล้วเก็บสะสมไว้ที่แบตเตอรี่ ส่งผ่านไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 95 กิโลวัตต์ เพื่อขับเคลื่อน ให้พลังได้ 122 แรงม้า เทคโนโลยี e-Power ใน Nissan Kicks ประกอบไปด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) และอุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทีผลิตกระแสไฟฟ้าจากเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 1.2 ลิตร 12 วาล์ว 3 สูบ แถวเรียงแบบ DOHC  ซึ่งได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย Nissan Kicks e-POWER

  1. Corolla Cross Hybrid (ราคาประมาณ 1,019,000 บาท)

รถครอสโอเวอร์ SUV เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับรถยนต์ไฮบริดในระดับราคาที่จับต้องได้ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 53 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า ทางโตโยต้าการันตีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น โดยราคาเริ่มต้นของ Corolla Cross ไฮบริด จะเป็นรุ่น Hybrid Smart ที่มาพร้อมเกียร์ E-CVT

  1. MG HS PHEV (ราคาประมาณ 1,359,000 บาท)

รถยนต์ compact SUV ระบบ Plug-in Hybrid ให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร โดยแยกเป็นกำลังจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์เป็นแบบ EDU II - 10 Speeds สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ภายในเวลา 7.5 วินาที ราคาจำหน่าย NEW MG HS PHEV

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% Electric vehicle (EV)

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เกิดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี ใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยวิธีการทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% นั้น ไม่ได้มีความละเอียดและซับซ้อนเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มีองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนเพียง 3 ส่วนเท่านั้น แต่ทั้งสามส่วนนี้ได้ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เต็มประสิทธิภาพ คือ  

  • แบตเตอรี่ พลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จเข้ามา จะถูกเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ ซึ่งปัจจุบันแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า คือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากและใช้งานได้ทนทานขึ้น
  • อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า มีหน้าที่ควบคุมและแปลงกระแสไฟ จากพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อส่งพลังงานต่อไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า
  • มอเตอร์ไฟฟ้า ใช้ในการส่งพลังงานที่ได้มาจากตัวแปลงกระแสไฟฟ้า ส่งต่อไปยังเพลาเพื่อให้เกิดพลังงานในการขับเคลื่อน เป็นมิตรกับผู้คนและไม่สร้างมลภาวะต่อโลก ใช้พลังงานทางเลือกที่ดีต่อโลกมาเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อนจึงทำให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าตัวนี้กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในอนาคตต่อไป

รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่น่าสนใจในปีนี้ CARS24 คัดมา 5 รุ่น (เริ่มจากราคาต่ำสุดไล่ไปนะครับ)

  1. MG EPZ (ราคา 988,000 บาท)

ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กม./ชม. ด้านแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออน มีความจุ 50.3 kWh ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ไกล 380 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ระบบการชาร์จไฟของ MG EP 2021 ถ้าชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-100% แบบ AC ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชม. 15 นาที นอกจากนี้ยังมีระบบชาร์จเร็ว หรือ Quick Charge โดยชาร์จแบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 จะให้พลังงานตั้งแต่ 0-80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที

  1. ORA Good Cat (ราคาเริ่มต้น 989,000 บาท)

รถพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกของค่าย GWM เป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าของตระกูลแมว ORA ตัวถังแบบ Hatchback 5 ประตู ที่มากับรูปลักษณ์สุดน่ารัก แบตเตอรี่มีให้เลือก 2 ขนาด ที่วิ่งได้ไกล 400 - 500 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ระบบขับเคลื่อนจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังพละกำลัง 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้ความเร็วสูงสุด 152 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน  3.8 วินาที ในรุ่น 500 ULTRA จะมากับแบตเตอรี่ลิเธียม Ternary ขนาด 63.139 kWh ที่ให้ระยะทางการวิ่ง 500 กม. ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ 10 ชม. มาพร้อมระบบและชาร์จเร็วกระแสตรง DC 0-80% ใน 60 นาที และ 30-80% ใน 40 นาที

  1. Nissan Leaf (ราคาประมาณ 1,990,000 บาท)

ใช้ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า e-powertrain แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนรุ่นใหม่ ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่ให้ความจุพลังงานถึง 40 kWh มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น EM 57 ให้กำลังสูงสุด 110 kW หรือ 149 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 320 นิวตันเมตร ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 7.9 วินาที และเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถขับได้ระยะทางสูงสุดถึง 311 กม. ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ในเวลา 12 ชม. และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชม. มาพร้อมระบบชาร์จด่วนที่จะให้กำลังไฟจาก 0-80% ในเวลา 40 นาที

  1. MINI Cooper SE (ราคาประมาณ 2,290,000 ล้านบาท)

มาพร้อมกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม คาดด้วยเส้นสีเหลือง กับโลโก้ตัว E ที่บ่งบอกว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร  เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม. ด้านแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไออน ขนาด 32.6 kWh ให้ระยะทางวิ่งได้ไกล 217 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 2.5 ชม. และเต็ม 100% ได้ใน 3.5 ชม. หากชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 Kw แต่ถ้าชาร์จจากสถานีที่เป็นหัวชาร์จแบบ DC fast-charging สามารถชาร์จได้ถึง 80% ในเวลา 36 นาที

  1. BMW iX3 M Sport (ราคาประมาณ 3,399,000 บาท)

มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพละกำลังสูงสุด 210 กิโลวัตต์/286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยสามารถนำมาใช้งานได้สูงสุด 74 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อขับเคลื่อนให้บีเอ็มดับเบิลยู iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ได้ภายใน 34 นาที

สรุป

  • รถไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ดีทั้งสองแบบ แต่ไฮบริดอาจจะราคาถูกกว่า ถึงอย่างนั้นก็ต้องดูแลทั้งสองระบบ คือเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ก็ต้องเปลี่ยนเช่นเดียวกัน
  • EV นั้นราคาขายตัวรถจะแพงกว่าเยอะ แต่ก็ไม่ต้องดูแลเรื่องของเหลวในเครื่องยนต์ เพราะเป็นระบบไฟฟ้าล้วน
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยกันทั้งคู่ แต่ EV จะไม่ส่งของเสียในอากาศเลย
  • ปัญหาเดียวคือ ระบบชาร์จไฟที่ใช้เวลานานกว่าเติมน้ำมันมาก และก็วิ่งได้ตามระยะที่กำหนด คือเหมาะกับใช้ในเมืองมากกว่า
  • ไฮบริดน่าจะตอบโจทย์คนไทยมากว่า แต่ในอนาคตอันใกล้ EV ก็เป็นทางเลือกที่สนใจมากๆ เพราะสุดท้ายอนาคตก็จะมาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในที่สุด แต่ก็อีกหลายปีครับ กว่าที่ทุกประเทศทั่วโลกจะเลิกใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลัก

ไม่ว่าคุณจะเลือกรถยนต์แบบไหน แต่ถ้าต้องการซื้อรถไฮบริดมือสอง คุณภาพดี สภาพนางฟ้า คัดพิเศษ ไมล์น้อย ไม่กรอไมล์ ไม่ชนหนัก CARS24 ของเราก็มีรถยนต์ให้เลือกเช่นกันครับ (คลิก)

อ่านเพิ่มเติม