CARS24 จัดให้! TOP 10 รถมือสองสุดคุ้ม งบไม่เกิน 4 แสนบาท

CARS24
CARS24
| อ่าน 4 นาที

ต้นปีแบบนี้ใครที่เก็บโบนัสไว้สำหรับเลือกเป็นเจ้าของรถมือสองสภาพดีสักคัน คงต้องคิดหนักแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้สภาพเศรษฐกิจจะไม่ค่อยไหลลื่น แต่ตลาดรถยนต์ยังคงเติบโตมีรถป้ายแดงลงตลาดกันเพียบ และนั่นทำให้มีรถมือสองในตลาดมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน แถมบางรุ่นยังราคาลดลงเนื่องจากมีรถรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะได้เลือกรถมือสองสภาพดีเกือบใหม่ ในราคาที่คุ้มค่าหลากหลายรุ่น ครั้งนี้ CARS24 ขอแนะนำ TOP 10 รถมือสองสุดคุ้ม ในงบประมาณไม่เกิน 400,000 บาท มาให้พิจารณากัน มาดูสิว่าจะโดนใจกันบ้างหรือเปล่า

1.   2017 Nissan March (ประมาณ 299,000 – 350,000 บาท)

พูดได้เลยว่านิสสันลากยาวขาย Nissan March มาร่วมสิบปี แต่ยังเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน ด้วยตัวถังที่มีขนาดไม่ใหญ่ ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้าง โล่ง โปร่ง ทำให้นั่งเต็ม 4 ตำแหน่งไม่รู้สึกอึดดัด เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แรงม้าพอตัวระดับ 79 แรงม้า แรงบิด 106 นิวตันเมตร ที่มากเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน อัตราสิ้นเปลืองแตะ 20 กม./ลิตร ในการขับนอกเมือง ขับในเมืองเฉลี่ย 14 กม./ลิตร ถือว่ายังให้ความประหยัดอยู่มาก ช่วงล่างนุ่มสไตล์นิสสัน และด้วยการที่ทำตลาดมานานหลายปี จึงทำให้หาอะไหล่ได้ง่าย ช่างซ่อมไม่ยาก ราคาอะไหล่ไม่แพงหาอะไหล่ทดแทนได้ง่าย

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารกว้าง

-          ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

-          ช่วงล่างกระชับมั่นคง

-          อะไหล่หาง่าย

-          ของแต่งเยอะ

-          วัสดุภายในดูเป็นพลาสติกมากไปหน่อย

-          ไม่เหมาะกับการทำความเร็วสูง

-          เบาะผ้าเปื้อนง่าย

-          พวงมาลัยค่อนข้างเบา

2.   2017 Toyota Yaris (ประมาณ 350,000 – 380,000 บาท)

เวลามองหารถมือสองถ้าคิดไม่ออกให้มองโตโยต้าเอาไว้ก่อน นี่เป็นเรื่องจริง! ด้วยชื่อของโตโยต้าการันตีรถที่มีคุณภาพมายาวนาน แม้ว่าจะเป็นรถมือสองยังได้รับความนิยมในหลายรุ่น และมีจุดเด่นหลัก ๆ ตรงเครื่องยนต์แต่ละซีรีส์จะมีความทนทานยาวนานหลายสิบปี เพียงแค่บำรุงรักษาตามกำหนดเท่านั้น ส่วน Toyota Yaris เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่อยากแนะนำ ซึ่งมีสองตัวถังคือ ตัวถังแบบซีดาน ที่เรียกว่า “Yaris Ativ” กับตัวถังแบบแฮทช์แบค 5 ประตู แนะนำตัวถังแฮทช์แบค เพราะค่อนข้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ห้องโดยสารที่อเนกประสงค์มากขึ้น แม้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังจะน้อยกว่าในตัวถังแบบซีดาน แต่สามารถพับเบาะเพื่อจัดวางสัมภาระได้สะดวกกว่า

โดยรุ่นนี้มักจะโดนใจสาว ๆ เป็นพิเศษ ด้วยขนาดตัวถังที่พอดีไม่ใหญ่เกินไป มีความคล่องตัว ทัศนวิสัยดี กะระยะได้ง่าย เสริมอุปกรณ์ความปลอดภัยตามมาตรฐาน พื้นที่เบาะหลังกว้าง อัตราเร่งถือว่าจัดจ้านพอตัว ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 92 แรงม้า แรงบิด 108 นิวตันเมตร ช่วงล่างแข็งเล็กน้อย แต่ทำให้ยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในช่วง 13-19 กม./ลิตร

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารกว้าง

-          ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

-          อะไหล่หาง่าย

-          แผงคอนโซลพลาสติกแบบขึ้นรูปที่เหมือนการเย็บด้ายจริง

-          ขับสนุก อัตราเร่งดี

-          รุ่นเบาะผ้าเปื้อนง่าย

-          พวงมาลัยค่อนข้างเบา

-          ช่วงล่างด้านท้ายเข้าโค้งมีอาการโยนตัวเล็กน้อย

3.   2020 Suzuki Celerio (ประมาณ 230,000 – 280,000 บาท)

รถอีโคคาร์จากซูซูกิที่เป็นม้าตีนปลาย ยอดขายรถป้ายแดงในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตัวถือว่าหืดจับ แต่หลังจากที่เริ่มมีผู้ใช้งานจริงรีวิวการใช้งานมากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนมองหารถใช้งานส่วนตัวในราคาที่ไม่สูงนัก Suzuki Celerio เป็นรถอีโคคาร์ป้ายแดงรุ่นเดียวในตลาดที่ราคาต่ำที่สุด มาพร้อมกับแคมเปญผ่อนต่อเดือนที่ถูกมาก ทำให้เกิดกระแสนิยมเพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าตัวรถจะมีขนาดเล็ก มีขนาดเครื่องยนต์เพียง 1 ลิตร 67 แรงม้า แรงบิด 90 นิวตันเมตร เท่านั้น แต่มันมากพอสำหรับการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต้องการรถยนต์ขนาดเล็ก ประหยัดน้ำมัน ใช้งานได้หลากหลาย ในราคาที่ไม่สูง ไม่เพียงเท่านั้นไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชื่นชอบการตั้งแคมป์เริ่มนำ Suzuki Celerio มาเป็นรถเพื่อออกแคมป์ปิ้งกันมากขึ้นอีกด้วย แล้วยังตกแต่งในสไตล์วินเทจได้อีกต่างหาก กลายเป็นรถเล็กที่มาแรง ส่วนรถมือสองอาจจะหายากสักหน่อย แต่ที่ CARS24 มี Celerio สภาพดีนะจะบอกให้

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารสูงโปร่ง

-          ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

-          ราคาไม่สูง

-          พับเบาะหลังบรรทุกสัมภาระได้เยอะ

-          ด้านกว้างอึดอัดไปหน่อย ไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่

-          ไม่เหมาะกับการขับความเร็วสูง

-          ถูกลมปะทะด้านข้างตัวรถได้ง่าย

-          เสียงลมเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างดัง

4.   2020 MG 3 (ประมาณ 300,000 – 350,000 บาท)

สไตล์และตัวตนที่ชัดเจนคือเอกลักษณ์ของ MG 3 รถคอมแพค ตัวถังแฮทช์แบค ที่ปรับโฉมใหม่ให้ดูเฉียบคมทั้งภายนอกและภายใน ตัวท้อปมาพร้อมหลังคาซันรูฟ สั่งงานด้วยเสียงได้ ซึ่งหากเป็นรถมือสองในงบไม่เกิน 4 แสนบาท ถือว่ามีออปชั่นให้เลือกเยอะที่สุด แต่นั่นอยู่ที่ว่าคุณมีสไตล์ที่ตรงกันกับ MG 3 หรือไม่เท่านั้นเอง

นอกจากหน้าตาน่ามอง มีความเฉียบคมแล้ว มีการปรับเปลี่ยนระบบส่งกำลังใหม่ สมรรถนะขุมพลัง 1.5 ลิตร 112 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร ในช่วงต้นแม้จะไม่หวือหวา แต่ความเร็วในช่วงกลางทำได้ดีมาก ร่วมกับระบบช่วงล่างที่นุ่มแต่แน่นหนึบ ทำให้เป็นรถที่ขับสนุกรุ่นหนึ่ง มาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ระบบ i-Smart สั่งงานด้วยเสียง และระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันอีก 8 ฟังก์ชั่น ถือว่าออปชั่นล้นมาก

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ศูนย์บริการเยอะ ดูแลดี

-          ช่วงล่างแน่นหนึบ ขับสนุก

-          ราคามือสองไม่สูง

-          ออปชั่นระบบความปลอดภัยมากสุด

-          มีซันรูฟ

-          ตัวถังแบบสีทูโทน มีความโดดเด่น

-          ราคาขายต่อไม่ค่อยดี

-          ต้องเข้าศูนย์บริการเป็นหลัก อู่นอกยังหาอะไหล่ทดแทนยาก

-          พวงมาลัยค่อนข้างหนัก

-          ระบบ i-Smart ที่ต้องทำความเข้าใจในการใช้งานเยอะ

-          ระบบเชื่อมต่อกับตัวรถที่ต้องอัพเดท และมีการ Error บ่อยครั้ง

5.   2018 Mazda 2 (ประมาณ 350,000 – 400,000 บาท)

รถมือสองราคาไม่เกิน 4 แสนบาท ถือว่า Mazda 2 เป็นรถที่ขับสนุกมากที่สุด ระบบช่วงล่างนิ่ง แน่น หนึบ มากที่สุด ถ้าคุณรักในการขับรถและอยากมีความสนุกในการขับ Mazda 2 ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน โดยรถในรุ่นปี 2018 มีการอัพเกรดระบบการขับขี่ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น มีตัวเลือกทั้งตัวถังแบบซีดานและแฮทช์แบค ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน สกายแอคทีฟ 1.3 ลิตร และคลีนดีเซล 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นรถดีเซลในกลุ่ม B-Segment รุ่นเดียวในตลาด

ไฟหน้าแบบ LED เพิ่มเติมด้วย G-Vectoring Control ที่ช่วยให้การขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงมีความแม่นยำและมีเสถียรภาพการทรงตัวที่ดีขึ้น มาพร้อมระบบ MZD Connect, Rear Cross Traffic Alert และ Advanced Blind Spot Monitoring ที่ช่วยให้มีความปลอดภัยทั้งผู้ขับและคนเดินถนน

จุดเด่น

จุดด้อย

-          เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งแบบเบนซินและดีเซล

-          มีตัวเลือกทั้งตัวถังซีดานและแฮทช์แบค

-          ช่วงล่างแน่น ขับสนุก

-          พวงมาลัยน้ำหนักดี ให้ความแม่นยำสูง

-          มีระบบ G-Vectoring Control

-          อัตราเร่งดี

-          รออะไหล่นาน

-          เครื่องยนต์ดีเซลมีปัญหาเรื่องระบบหัวฉีดเชื้อเพลิง

-          อัตราสิ้นเปลืองค่อนข้างสูง

-          ห้องโดยสารไม่กว้างมาก

-          องศาเบาะหลังค่อนข้างชัน นั่งนานไม่สบายตัว

6.   2017 Honda City (ประมาณ 350,000 – -380,000 บาท)

รถซีดานขนาดกลางที่ขายดีที่สุดของฮอนด้า จะเรียกว่าเป็นรถสามัญประจำบ้านก็ไม่ผิด เป็นรถขนาดกลางแต่พื้นที่ห้องโดยสารค่อนไปทางใหญ่ ทำให้นั่งสบายในทุกตำแหน่ง ไม่รู้สึกอึดอัด หน้าตาที่ถูกปรับใหม่จากเดิมทำให้ดูทันสมัยไม่ตกยุค ถึง Honda City โฉมใหม่จะมีความน่าสนใจกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ในรุ่นปี 2017 ยังถือว่าเป็นโฉมที่ใช้งานไม่ตกยุคได้อีกนาน

เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 118 แรงม้า แรงบิด 145 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งตอนต้นค่อนข้างดี ขับในเมืองมีความคล่องตัวสูง พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าสร้างน้ำหนักในแต่ละช่วงความเร็วได้สมดุล อัตราสิ้นเปลืองทำได้น่าสนใจในช่วง 15-19 กม./ลิตร หน้าจอเครื่องเสียงเป็นแบบสัมผัส รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth เชื่อมต่อได้ทั้ง IOS และ Android ถ้าไม่คิดอะไรมาก ต้องการรถมือสองเอาไว้ใช้งานทั่วไปในราคาที่ถูกกว่ารถใหม่หลายแสนบาท ถือว่า Honda City มีความน่าสนใจไม่แพ้ใคร

จุดเด่น

จุดด้อย

-          อัตราเร่งดี ขับสนุก

-          ห้องโดยสารกว้าง นั่งสบาย

-          ศูนย์บริการเยอะ

-          อะไหล่หาง่าย

-          เครื่องยนต์มีความทนทานสูง

-          ความเร็วช่วง 60-100 กม./ชม. ทำได้ดีมาก

-          อะไหล่เกี่ยวกับเครื่องยนต์บางชิ้นมีราคาแพง

-          ช่วงล่างด้านหลังของเดิมนิ่มเกินไป

-          ยางหุ้มเพลาฉีกง่าย

-          เสียงภายนอกเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างดัง

7.   2019 Nissan Note (ประมาณ 330,000 – -380,000 บาท)

Nissan Note เป็นรถที่หลายคนมองข้าม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ถ้ามองกันที่การใช้งานที่ตอบโจทย์ มันทำได้ดีเกินคาด และอาจจะถูกเปรียบเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันที่ดูแล้วราคามือหนึ่งสูงกว่า แต่ได้เครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่า นั่นอาจจะทำให้ดูขาดความน่าสนใจ พอมาเป็นรถมือสองที่ราคาไม่เกิน 4 แสนบาท กลับทำให้ Nissan Note มีความน่าสนใจมากขึ้น

แม้ว่าเครื่องยนต์จะพิกัดและสเปคเดียวกับ Nissan March แต่มีห้องโดยสารที่ขนาดกว้างใหญ่กว่า ฐานล้อยาวกว่า แถมยังยาวกว่า Honda Jazz อีกด้วย นั่นทำให้สามารถพับเบาะเพื่อบรรทุกสัมภาระได้มากกว่า ตัวถังแฮทช์แบค หลังคาสูง ทำให้ head room ค่อนข้างโปร่ง รองรับสรีระผู้ขับที่ตัวใหญ่ได้สบาย นั่งเต็ม 4 ตำแหน่งไม่ทำให้รถรู้สึกว่าแคบหรืออึดอัด ประตูสามารถเปิดได้กว้างทำองศาได้เกือบ 90 องศา นั่นทำให้การขึ้นลงรถทำได้สะดวก

ยิ่งบ้านไหนมีผู้สูงอายุจะเห็นได้เลยว่าการที่ประตูเปิดได้กว้างทำให้ก้าวขึ้นรถได้สะดวกมาก ถ้าเป็นคนที่ใช้รถทั่วไป ขับในเมืองเป็นหลัก ออกต่างจังหวัดบ้าง ไม่เน้นความเร็วสูง เน้นความสะดวกสบาย และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง Nissan Note ตอบโจทย์อย่างแน่นอน

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารกว้างโปร่งนั่งสบาย

-          ประหยัดเชื้อเพลิง

-          รองรับ E20

-          ฐานล้อยาว ทำให้การเข้าโค้งทำได้ดี

-          ประตูเปิดได้กว้างเกือบ 90 องศา

-          อะไหล่หาง่าย ราคาไม่แพง

 

-          ออกตัวช้า ต้องเรียนรู้จังหวะเกียร์ CVT

-          บูชเกียร์เป็นพลาสติก แตกง่าย

-          คอนโซลและแผงประตูใช้วัสดุที่ดูพลาสติกเกินไป

8.   2019 Mitsubishi Attrage (ประมาณ 300,000 – -350,000 บาท)

อีกหนึ่งรถกลุ่มอีโคคาร์ในยุคที่น้ำมันแพงกว่าตอนนี้ มีชุดขายที่การประหยัดน้ำมันและห้องโดยสารที่กว้างขวาง แต่กลับไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะด้วยหน้าตาที่ดูไม่น่าดึงดูดสักเท่าไหร่ จึงปล่อยให้คู่แข่งกวาดยอดขายกันสนุก แต่เมื่อได้เวลาปรับการทำตลาดใหม่ รวมทั้งปรับโฉมหน้าตา เปลี่ยนไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้าใหม่ ทำให้ดูน่าสนใจและให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตคาร์มากขึ้น โดยเฉพาะโฉมปี 2019 ที่ดีไซน์ดูลงตัวไปหมดทั้งตัวถังซีดานและแฮทช์แบค (รุ่น Mirage) ชอบสไตล์ไหนเลือกได้เลย

เพราะด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้คู่แข่ง เผลอ ๆ จะดีกว่าด้วยซ้ำ โดยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากการใช้งานจริงจะอยู่ราว ๆ 15 กม./ลิตร ในตัวเมือง และ 20 กม./ลิตร เมื่อขับออกนอกเมือง ทำให้เห็นชัดเจนว่าความประหยัดของ Mitsubishi Attrage ทำได้ดี รวมทั้งห้องโดยสารที่กว้างตามสไตล์รถในกลุ่มนี้ ทำให้การเดินทางทั้งใกล้และไกลมีความสะดวกและสบาย

ด้านเครื่องยนต์พิกัด 3 สูบ 78 แรงม้า แรงบิด 100 นิวตันเมตร ทำได้กระฉับกระเฉง แต่จะมีตอนออกตัวเท่านั้น ถ้าใครเท้าหนักจะรู้สึกว่ามันเชื่องช้าไปหน่อย แต่โดยรวมถือว่าเครื่องยนต์และเกียร์มีความทนทาน เรื่องซ่อมจุกจิกไม่ค่อยมี ที่แนะนำรุ่น Attrage เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ใช้มิตซูบิชิจะเป็นครอบครัว การมีพื้นที่เก็บของแบบรถซีดานจะตอบโจทย์มากกว่า Mirage ที่เป็นแฮทช์แบคเท่านั้นเอง เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าหยิบมาเป็นตัวเลือก

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ประหยัดเชื้อเพลิง

-          ห้องโดยสารกว้าง

-          ช่วงล่างออกแนวสปอร์ต มีความแข็งเล็กน้อย

-          ไม่จุกจิก บำรุงรักษาง่าย

-          ค่าบำรุงรักษาไม่แพง

-          ศูนย์บริการมีหลายแห่ง

-          อัตราเร่งไม่จัดจ้าน

-          วัสดุภายในห้องโดยสารดูเป็นพลาสติกเป็นรอยง่าย

-          มักมีกลิ่นการเผาไหม้ของเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสาร

-          การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารยังทำได้ไม่ดีในขณะใช้ความเร็วสูง

9.   2018 Toyota Vios (ประมาณ 350,000 – -380,000 บาท)

เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ต้องอยู่ในลิสต์นี้ เพราะถ้าอยากได้รถในงบประมาณไม่เกิน 4 แสน แต่อยากได้รถที่ขับสนุก ช่วงล่างแน่น อะไหล่หาง่าย ราคามือสองขายต่อดี ต้องยกให้ Toyota Vios เพราะรถในตระกูลนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความคุ้มค่า เครื่องยนต์มีความทนทานสูง อัตราเร่งจัดจ้าน นำมาแต่งเพิ่มเติมได้หลากหลาย ชุดแต่งในตลาดมีเพียบ เป็นรถซีดานขนาดกลางที่มีพื้นที่ห้องโดยสารเกือบเท่ารุ่นพี่อย่าง Altis ติดที่ว่าหน้าตาไม่ค่อยโดนใจสักเท่าไหร่ แต่ภายในออกแบบได้สวยงามน่าชม ใช้สีทูโทนน้ำตาลตัดดำเสริมด้วยขอบสีเงินทำให้รถดูพรีเมียมมากขึ้น

เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร ให้แรงม้าที่ 108 แรงม้า แรงบิด 140 นิวตันเมตร น้ำหนักตัวถัง 1,075 กิโลกรัม นั่งทำให้ตัวรถมีความเบามากเมื่อเทียบกับพละกำลังของเครื่องยนต์ที่รีดออกมา ทำให้ Toyota Vios เป็นรถที่มีอัตราเร่งที่จัดจ้านขับสนุก แต่ต้องระวังในเรื่องของช่วงล่างพอสมควรเพราะปรับจากโรงงานให้มีความนุ่มนวล จึงไม่เหมาะกับการทำความเร็วที่สูงมาก ต้องเปลี่ยนโช้คอัพ สปริง ใหม่ เพื่อให้เกาะถนนมากขึ้น ส่วนใครที่ใช้รถไว้ขับไปทำงานหรือท่องเที่ยว ไม่ได้เน้นอัตราเร่งมาก ถือว่าเป็นรถที่ใช้งานได้อเนกประสงค์และคุ้มค่าอย่างแน่นอน

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ขับสนุก อัตราเร่งดี

-          ประหยัดน้ำมัน

-          วัสดุภายในห้องโดยสารดูพรีเมียม

-          อะไหล่ราคาไม่แพง ซ่อมง่าย

-          ชุดแต่งมีเยอะ

-          เครื่องยนต์มีความทนทานสูง

-          ต้องปรับช่วงล่างด้านหลัง ถ้าชอบขับแบบความเร็วสูง

-          หน้าตาไม่ค่อยโดนใจ

-          เบาะนั่งคู่หน้านั่งแล้วเมื่อย ไม่ค่อยกระชับ

-          คันเร่งไฟฟ้ามีอาการดีเลย์

-          พวงมาลัยเบาเกินไป แม้ขับด้วยความเร็วสูง

10.   2020 Chevrolet Colorado X-Cab 2.5 LT เกียร์ธรรมดา (ประมาณ 340,000 – 380,000 บาท)

คงสงสัยว่าเข้าโผมาได้ยังไงกัน ทั้งที่แบรนด์เชฟโรเลตยุติการทำตลาดไปแล้ว อะไหล่จะหาได้หรือไม่? ฟังทางนี้ ถ้าต้องการรถกระบะ 2 ประตูแบบแคปเปิดได้เอาไว้ใช้งาน ทั้งใช้ในชีวิตประจำวันและใช้บรรทุกขนส่ง ราคาค่าตัวอยู่ในช่วง 3 – 4 แสนบาท ช่วงเวลานี้เหมาะมากที่จะเลือก Chevrolet Colorado เพราะเป็นรุ่นสุดท้ายปลายโมเดลที่ทำตลาด จัดออปชั่นระบบความปลอดภัยมาแบบคุ้ม ๆ เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นนี้แบบเดิม ๆ ค่อนข้างทนมาก แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที แรงบิดจัดจ้านในรอบต่ำเหมาะกับการบรรทุก ขนส่ง เกียร์ธรรมดาไม่มีปัญหาไม่งอแง

ส่วนเรื่องของอะไหล่ที่หลายคนกังวล ไม่มีปัญหา! ปกติแล้วรถแต่ละรุ่นที่ทำตลาดจะต้องมีสต็อคอะไหล่ไว้อย่างน้อย 15 ปี แม้ว่าเจนเนอรัล มอเตอร์ จะยุติการทำตลาดในไทย แต่ยังมี เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ที่เปิดดำเนินกิจการ ดูแลลูกค้าเชฟโรเลตในเรื่องของการเซอร์วิสและอะไหล่เอาไว้ นอกจากนี้ ยังใช้ชิ้นส่วนร่วมกันกับอีซูซุได้อีกด้วย ถ้าใครคิดจะหารถกระบะเอาไว้ทำมาหากิน ราคาไม่แรง Chevrolet Colorado ถือว่าไม่ขี่เหร่เลยนะ

จุดเด่น

จุดด้อย

-          แรงบิดสูงเหมาะกับการบรรทุก

-          ห้องโดยสารออกแบบทันสมัย

-          วัสดุแผงคอนโซลดูแข็งแรง เสริมด้วยวัสดุแบบ Soft Touch

-          อะไหล่หาง่ายและหาทดแทนได้เยอะ

-          ค่าบำรุงรักษาต่ำ

-          ราคาขายต่อตกเยอะ

-          อะไหล่แท้บางอย่างราคาสูง

-          พวงมาลัยไฮดรอริกค่อนข้างหนัก

ทั้งหมดคือ Top 10 รถมือสองสุดคุ้มงบไม่เกิน 4 แสนบาท ที่ CARS24 ขอแนะนำ และอยากจะแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าถูกใจรถมือสองรุ่นไหนแล้ว อยากให้เปลี่ยนของเหลวทั้งหมดภายในรถเป็นการเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ โดยเฉพาะน้ำมันเกียร์ ควรเลือกน้ำมันเกียร์ที่มีคุณภาพ ควรเป็นของศูนย์ เลือกเกรดสูงราคาอาจจะแรงหน่อย แต่คุ้มกว่าแน่นอน ขอให้สนุกกับการเลือกรถมือสองจาก CARS24

ต้นปีแบบนี้ใครที่เก็บโบนัสไว้สำหรับเลือกเป็นเจ้าของรถมือสองสภาพดีสักคัน คงต้องคิดหนักแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้สภาพเศรษฐกิจจะไม่ค่อยไหลลื่น แต่ตลาดรถยนต์ยังคงเติบโตมีรถป้ายแดงลงตลาดกันเพียบ และนั่นทำให้มีรถมือสองในตลาดมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน แถมบางรุ่นยังราคาลดลงเนื่องจากมีรถรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะได้เลือกรถมือสองสภาพดีเกือบใหม่ ในราคาที่คุ้มค่าหลากหลายรุ่น ครั้งนี้ CARS24 ขอแนะนำ TOP 10 รถมือสองสุดคุ้ม ในงบประมาณไม่เกิน 400,000 บาท มาให้พิจารณากัน มาดูสิว่าจะโดนใจกันบ้างหรือเปล่า

1.   2017 Nissan March (ประมาณ 299,000 – 350,000 บาท)

พูดได้เลยว่านิสสันลากยาวขาย Nissan March มาร่วมสิบปี แต่ยังเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน ด้วยตัวถังที่มีขนาดไม่ใหญ่ ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้าง โล่ง โปร่ง ทำให้นั่งเต็ม 4 ตำแหน่งไม่รู้สึกอึดดัด เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แรงม้าพอตัวระดับ 79 แรงม้า แรงบิด 106 นิวตันเมตร ที่มากเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน อัตราสิ้นเปลืองแตะ 20 กม./ลิตร ในการขับนอกเมือง ขับในเมืองเฉลี่ย 14 กม./ลิตร ถือว่ายังให้ความประหยัดอยู่มาก ช่วงล่างนุ่มสไตล์นิสสัน และด้วยการที่ทำตลาดมานานหลายปี จึงทำให้หาอะไหล่ได้ง่าย ช่างซ่อมไม่ยาก ราคาอะไหล่ไม่แพงหาอะไหล่ทดแทนได้ง่าย

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารกว้าง

-          ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

-          ช่วงล่างกระชับมั่นคง

-          อะไหล่หาง่าย

-          ของแต่งเยอะ

-          วัสดุภายในดูเป็นพลาสติกมากไปหน่อย

-          ไม่เหมาะกับการทำความเร็วสูง

-          เบาะผ้าเปื้อนง่าย

-          พวงมาลัยค่อนข้างเบา

2.   2017 Toyota Yaris (ประมาณ 350,000 – 380,000 บาท)

เวลามองหารถมือสองถ้าคิดไม่ออกให้มองโตโยต้าเอาไว้ก่อน นี่เป็นเรื่องจริง! ด้วยชื่อของโตโยต้าการันตีรถที่มีคุณภาพมายาวนาน แม้ว่าจะเป็นรถมือสองยังได้รับความนิยมในหลายรุ่น และมีจุดเด่นหลัก ๆ ตรงเครื่องยนต์แต่ละซีรีส์จะมีความทนทานยาวนานหลายสิบปี เพียงแค่บำรุงรักษาตามกำหนดเท่านั้น ส่วน Toyota Yaris เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่อยากแนะนำ ซึ่งมีสองตัวถังคือ ตัวถังแบบซีดาน ที่เรียกว่า “Yaris Ativ” กับตัวถังแบบแฮทช์แบค 5 ประตู แนะนำตัวถังแฮทช์แบค เพราะค่อนข้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ห้องโดยสารที่อเนกประสงค์มากขึ้น แม้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังจะน้อยกว่าในตัวถังแบบซีดาน แต่สามารถพับเบาะเพื่อจัดวางสัมภาระได้สะดวกกว่า

โดยรุ่นนี้มักจะโดนใจสาว ๆ เป็นพิเศษ ด้วยขนาดตัวถังที่พอดีไม่ใหญ่เกินไป มีความคล่องตัว ทัศนวิสัยดี กะระยะได้ง่าย เสริมอุปกรณ์ความปลอดภัยตามมาตรฐาน พื้นที่เบาะหลังกว้าง อัตราเร่งถือว่าจัดจ้านพอตัว ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 92 แรงม้า แรงบิด 108 นิวตันเมตร ช่วงล่างแข็งเล็กน้อย แต่ทำให้ยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในช่วง 13-19 กม./ลิตร

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารกว้าง

-          ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

-          อะไหล่หาง่าย

-          แผงคอนโซลพลาสติกแบบขึ้นรูปที่เหมือนการเย็บด้ายจริง

-          ขับสนุก อัตราเร่งดี

-          รุ่นเบาะผ้าเปื้อนง่าย

-          พวงมาลัยค่อนข้างเบา

-          ช่วงล่างด้านท้ายเข้าโค้งมีอาการโยนตัวเล็กน้อย

3.   2020 Suzuki Celerio (ประมาณ 230,000 – 280,000 บาท)

รถอีโคคาร์จากซูซูกิที่เป็นม้าตีนปลาย ยอดขายรถป้ายแดงในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตัวถือว่าหืดจับ แต่หลังจากที่เริ่มมีผู้ใช้งานจริงรีวิวการใช้งานมากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนมองหารถใช้งานส่วนตัวในราคาที่ไม่สูงนัก Suzuki Celerio เป็นรถอีโคคาร์ป้ายแดงรุ่นเดียวในตลาดที่ราคาต่ำที่สุด มาพร้อมกับแคมเปญผ่อนต่อเดือนที่ถูกมาก ทำให้เกิดกระแสนิยมเพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าตัวรถจะมีขนาดเล็ก มีขนาดเครื่องยนต์เพียง 1 ลิตร 67 แรงม้า แรงบิด 90 นิวตันเมตร เท่านั้น แต่มันมากพอสำหรับการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต้องการรถยนต์ขนาดเล็ก ประหยัดน้ำมัน ใช้งานได้หลากหลาย ในราคาที่ไม่สูง ไม่เพียงเท่านั้นไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชื่นชอบการตั้งแคมป์เริ่มนำ Suzuki Celerio มาเป็นรถเพื่อออกแคมป์ปิ้งกันมากขึ้นอีกด้วย แล้วยังตกแต่งในสไตล์วินเทจได้อีกต่างหาก กลายเป็นรถเล็กที่มาแรง ส่วนรถมือสองอาจจะหายากสักหน่อย แต่ที่ CARS24 มี Celerio สภาพดีนะจะบอกให้

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารสูงโปร่ง

-          ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

-          ราคาไม่สูง

-          พับเบาะหลังบรรทุกสัมภาระได้เยอะ

-          ด้านกว้างอึดอัดไปหน่อย ไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่

-          ไม่เหมาะกับการขับความเร็วสูง

-          ถูกลมปะทะด้านข้างตัวรถได้ง่าย

-          เสียงลมเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างดัง

4.   2020 MG 3 (ประมาณ 300,000 – 350,000 บาท)

สไตล์และตัวตนที่ชัดเจนคือเอกลักษณ์ของ MG 3 รถคอมแพค ตัวถังแฮทช์แบค ที่ปรับโฉมใหม่ให้ดูเฉียบคมทั้งภายนอกและภายใน ตัวท้อปมาพร้อมหลังคาซันรูฟ สั่งงานด้วยเสียงได้ ซึ่งหากเป็นรถมือสองในงบไม่เกิน 4 แสนบาท ถือว่ามีออปชั่นให้เลือกเยอะที่สุด แต่นั่นอยู่ที่ว่าคุณมีสไตล์ที่ตรงกันกับ MG 3 หรือไม่เท่านั้นเอง

นอกจากหน้าตาน่ามอง มีความเฉียบคมแล้ว มีการปรับเปลี่ยนระบบส่งกำลังใหม่ สมรรถนะขุมพลัง 1.5 ลิตร 112 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร ในช่วงต้นแม้จะไม่หวือหวา แต่ความเร็วในช่วงกลางทำได้ดีมาก ร่วมกับระบบช่วงล่างที่นุ่มแต่แน่นหนึบ ทำให้เป็นรถที่ขับสนุกรุ่นหนึ่ง มาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ระบบ i-Smart สั่งงานด้วยเสียง และระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันอีก 8 ฟังก์ชั่น ถือว่าออปชั่นล้นมาก

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ศูนย์บริการเยอะ ดูแลดี

-          ช่วงล่างแน่นหนึบ ขับสนุก

-          ราคามือสองไม่สูง

-          ออปชั่นระบบความปลอดภัยมากสุด

-          มีซันรูฟ

-          ตัวถังแบบสีทูโทน มีความโดดเด่น

-          ราคาขายต่อไม่ค่อยดี

-          ต้องเข้าศูนย์บริการเป็นหลัก อู่นอกยังหาอะไหล่ทดแทนยาก

-          พวงมาลัยค่อนข้างหนัก

-          ระบบ i-Smart ที่ต้องทำความเข้าใจในการใช้งานเยอะ

-          ระบบเชื่อมต่อกับตัวรถที่ต้องอัพเดท และมีการ Error บ่อยครั้ง

5.   2018 Mazda 2 (ประมาณ 350,000 – 400,000 บาท)

รถมือสองราคาไม่เกิน 4 แสนบาท ถือว่า Mazda 2 เป็นรถที่ขับสนุกมากที่สุด ระบบช่วงล่างนิ่ง แน่น หนึบ มากที่สุด ถ้าคุณรักในการขับรถและอยากมีความสนุกในการขับ Mazda 2 ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน โดยรถในรุ่นปี 2018 มีการอัพเกรดระบบการขับขี่ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น มีตัวเลือกทั้งตัวถังแบบซีดานและแฮทช์แบค ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน สกายแอคทีฟ 1.3 ลิตร และคลีนดีเซล 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นรถดีเซลในกลุ่ม B-Segment รุ่นเดียวในตลาด

ไฟหน้าแบบ LED เพิ่มเติมด้วย G-Vectoring Control ที่ช่วยให้การขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงมีความแม่นยำและมีเสถียรภาพการทรงตัวที่ดีขึ้น มาพร้อมระบบ MZD Connect, Rear Cross Traffic Alert และ Advanced Blind Spot Monitoring ที่ช่วยให้มีความปลอดภัยทั้งผู้ขับและคนเดินถนน

จุดเด่น

จุดด้อย

-          เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งแบบเบนซินและดีเซล

-          มีตัวเลือกทั้งตัวถังซีดานและแฮทช์แบค

-          ช่วงล่างแน่น ขับสนุก

-          พวงมาลัยน้ำหนักดี ให้ความแม่นยำสูง

-          มีระบบ G-Vectoring Control

-          อัตราเร่งดี

-          รออะไหล่นาน

-          เครื่องยนต์ดีเซลมีปัญหาเรื่องระบบหัวฉีดเชื้อเพลิง

-          อัตราสิ้นเปลืองค่อนข้างสูง

-          ห้องโดยสารไม่กว้างมาก

-          องศาเบาะหลังค่อนข้างชัน นั่งนานไม่สบายตัว

6.   2017 Honda City (ประมาณ 350,000 – -380,000 บาท)

รถซีดานขนาดกลางที่ขายดีที่สุดของฮอนด้า จะเรียกว่าเป็นรถสามัญประจำบ้านก็ไม่ผิด เป็นรถขนาดกลางแต่พื้นที่ห้องโดยสารค่อนไปทางใหญ่ ทำให้นั่งสบายในทุกตำแหน่ง ไม่รู้สึกอึดอัด หน้าตาที่ถูกปรับใหม่จากเดิมทำให้ดูทันสมัยไม่ตกยุค ถึง Honda City โฉมใหม่จะมีความน่าสนใจกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ในรุ่นปี 2017 ยังถือว่าเป็นโฉมที่ใช้งานไม่ตกยุคได้อีกนาน

เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 118 แรงม้า แรงบิด 145 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งตอนต้นค่อนข้างดี ขับในเมืองมีความคล่องตัวสูง พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าสร้างน้ำหนักในแต่ละช่วงความเร็วได้สมดุล อัตราสิ้นเปลืองทำได้น่าสนใจในช่วง 15-19 กม./ลิตร หน้าจอเครื่องเสียงเป็นแบบสัมผัส รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth เชื่อมต่อได้ทั้ง IOS และ Android ถ้าไม่คิดอะไรมาก ต้องการรถมือสองเอาไว้ใช้งานทั่วไปในราคาที่ถูกกว่ารถใหม่หลายแสนบาท ถือว่า Honda City มีความน่าสนใจไม่แพ้ใคร

จุดเด่น

จุดด้อย

-          อัตราเร่งดี ขับสนุก

-          ห้องโดยสารกว้าง นั่งสบาย

-          ศูนย์บริการเยอะ

-          อะไหล่หาง่าย

-          เครื่องยนต์มีความทนทานสูง

-          ความเร็วช่วง 60-100 กม./ชม. ทำได้ดีมาก

-          อะไหล่เกี่ยวกับเครื่องยนต์บางชิ้นมีราคาแพง

-          ช่วงล่างด้านหลังของเดิมนิ่มเกินไป

-          ยางหุ้มเพลาฉีกง่าย

-          เสียงภายนอกเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างดัง

7.   2019 Nissan Note (ประมาณ 330,000 – -380,000 บาท)

Nissan Note เป็นรถที่หลายคนมองข้าม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ถ้ามองกันที่การใช้งานที่ตอบโจทย์ มันทำได้ดีเกินคาด และอาจจะถูกเปรียบเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันที่ดูแล้วราคามือหนึ่งสูงกว่า แต่ได้เครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่า นั่นอาจจะทำให้ดูขาดความน่าสนใจ พอมาเป็นรถมือสองที่ราคาไม่เกิน 4 แสนบาท กลับทำให้ Nissan Note มีความน่าสนใจมากขึ้น

แม้ว่าเครื่องยนต์จะพิกัดและสเปคเดียวกับ Nissan March แต่มีห้องโดยสารที่ขนาดกว้างใหญ่กว่า ฐานล้อยาวกว่า แถมยังยาวกว่า Honda Jazz อีกด้วย นั่นทำให้สามารถพับเบาะเพื่อบรรทุกสัมภาระได้มากกว่า ตัวถังแฮทช์แบค หลังคาสูง ทำให้ head room ค่อนข้างโปร่ง รองรับสรีระผู้ขับที่ตัวใหญ่ได้สบาย นั่งเต็ม 4 ตำแหน่งไม่ทำให้รถรู้สึกว่าแคบหรืออึดอัด ประตูสามารถเปิดได้กว้างทำองศาได้เกือบ 90 องศา นั่นทำให้การขึ้นลงรถทำได้สะดวก

ยิ่งบ้านไหนมีผู้สูงอายุจะเห็นได้เลยว่าการที่ประตูเปิดได้กว้างทำให้ก้าวขึ้นรถได้สะดวกมาก ถ้าเป็นคนที่ใช้รถทั่วไป ขับในเมืองเป็นหลัก ออกต่างจังหวัดบ้าง ไม่เน้นความเร็วสูง เน้นความสะดวกสบาย และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง Nissan Note ตอบโจทย์อย่างแน่นอน

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ห้องโดยสารกว้างโปร่งนั่งสบาย

-          ประหยัดเชื้อเพลิง

-          รองรับ E20

-          ฐานล้อยาว ทำให้การเข้าโค้งทำได้ดี

-          ประตูเปิดได้กว้างเกือบ 90 องศา

-          อะไหล่หาง่าย ราคาไม่แพง

 

-          ออกตัวช้า ต้องเรียนรู้จังหวะเกียร์ CVT

-          บูชเกียร์เป็นพลาสติก แตกง่าย

-          คอนโซลและแผงประตูใช้วัสดุที่ดูพลาสติกเกินไป

8.   2019 Mitsubishi Attrage (ประมาณ 300,000 – -350,000 บาท)

อีกหนึ่งรถกลุ่มอีโคคาร์ในยุคที่น้ำมันแพงกว่าตอนนี้ มีชุดขายที่การประหยัดน้ำมันและห้องโดยสารที่กว้างขวาง แต่กลับไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะด้วยหน้าตาที่ดูไม่น่าดึงดูดสักเท่าไหร่ จึงปล่อยให้คู่แข่งกวาดยอดขายกันสนุก แต่เมื่อได้เวลาปรับการทำตลาดใหม่ รวมทั้งปรับโฉมหน้าตา เปลี่ยนไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้าใหม่ ทำให้ดูน่าสนใจและให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตคาร์มากขึ้น โดยเฉพาะโฉมปี 2019 ที่ดีไซน์ดูลงตัวไปหมดทั้งตัวถังซีดานและแฮทช์แบค (รุ่น Mirage) ชอบสไตล์ไหนเลือกได้เลย

เพราะด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้คู่แข่ง เผลอ ๆ จะดีกว่าด้วยซ้ำ โดยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากการใช้งานจริงจะอยู่ราว ๆ 15 กม./ลิตร ในตัวเมือง และ 20 กม./ลิตร เมื่อขับออกนอกเมือง ทำให้เห็นชัดเจนว่าความประหยัดของ Mitsubishi Attrage ทำได้ดี รวมทั้งห้องโดยสารที่กว้างตามสไตล์รถในกลุ่มนี้ ทำให้การเดินทางทั้งใกล้และไกลมีความสะดวกและสบาย

ด้านเครื่องยนต์พิกัด 3 สูบ 78 แรงม้า แรงบิด 100 นิวตันเมตร ทำได้กระฉับกระเฉง แต่จะมีตอนออกตัวเท่านั้น ถ้าใครเท้าหนักจะรู้สึกว่ามันเชื่องช้าไปหน่อย แต่โดยรวมถือว่าเครื่องยนต์และเกียร์มีความทนทาน เรื่องซ่อมจุกจิกไม่ค่อยมี ที่แนะนำรุ่น Attrage เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ใช้มิตซูบิชิจะเป็นครอบครัว การมีพื้นที่เก็บของแบบรถซีดานจะตอบโจทย์มากกว่า Mirage ที่เป็นแฮทช์แบคเท่านั้นเอง เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าหยิบมาเป็นตัวเลือก

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ประหยัดเชื้อเพลิง

-          ห้องโดยสารกว้าง

-          ช่วงล่างออกแนวสปอร์ต มีความแข็งเล็กน้อย

-          ไม่จุกจิก บำรุงรักษาง่าย

-          ค่าบำรุงรักษาไม่แพง

-          ศูนย์บริการมีหลายแห่ง

-          อัตราเร่งไม่จัดจ้าน

-          วัสดุภายในห้องโดยสารดูเป็นพลาสติกเป็นรอยง่าย

-          มักมีกลิ่นการเผาไหม้ของเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสาร

-          การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารยังทำได้ไม่ดีในขณะใช้ความเร็วสูง

9.   2018 Toyota Vios (ประมาณ 350,000 – -380,000 บาท)

เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ต้องอยู่ในลิสต์นี้ เพราะถ้าอยากได้รถในงบประมาณไม่เกิน 4 แสน แต่อยากได้รถที่ขับสนุก ช่วงล่างแน่น อะไหล่หาง่าย ราคามือสองขายต่อดี ต้องยกให้ Toyota Vios เพราะรถในตระกูลนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความคุ้มค่า เครื่องยนต์มีความทนทานสูง อัตราเร่งจัดจ้าน นำมาแต่งเพิ่มเติมได้หลากหลาย ชุดแต่งในตลาดมีเพียบ เป็นรถซีดานขนาดกลางที่มีพื้นที่ห้องโดยสารเกือบเท่ารุ่นพี่อย่าง Altis ติดที่ว่าหน้าตาไม่ค่อยโดนใจสักเท่าไหร่ แต่ภายในออกแบบได้สวยงามน่าชม ใช้สีทูโทนน้ำตาลตัดดำเสริมด้วยขอบสีเงินทำให้รถดูพรีเมียมมากขึ้น

เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร ให้แรงม้าที่ 108 แรงม้า แรงบิด 140 นิวตันเมตร น้ำหนักตัวถัง 1,075 กิโลกรัม นั่งทำให้ตัวรถมีความเบามากเมื่อเทียบกับพละกำลังของเครื่องยนต์ที่รีดออกมา ทำให้ Toyota Vios เป็นรถที่มีอัตราเร่งที่จัดจ้านขับสนุก แต่ต้องระวังในเรื่องของช่วงล่างพอสมควรเพราะปรับจากโรงงานให้มีความนุ่มนวล จึงไม่เหมาะกับการทำความเร็วที่สูงมาก ต้องเปลี่ยนโช้คอัพ สปริง ใหม่ เพื่อให้เกาะถนนมากขึ้น ส่วนใครที่ใช้รถไว้ขับไปทำงานหรือท่องเที่ยว ไม่ได้เน้นอัตราเร่งมาก ถือว่าเป็นรถที่ใช้งานได้อเนกประสงค์และคุ้มค่าอย่างแน่นอน

จุดเด่น

จุดด้อย

-          ขับสนุก อัตราเร่งดี

-          ประหยัดน้ำมัน

-          วัสดุภายในห้องโดยสารดูพรีเมียม

-          อะไหล่ราคาไม่แพง ซ่อมง่าย

-          ชุดแต่งมีเยอะ

-          เครื่องยนต์มีความทนทานสูง

-          ต้องปรับช่วงล่างด้านหลัง ถ้าชอบขับแบบความเร็วสูง

-          หน้าตาไม่ค่อยโดนใจ

-          เบาะนั่งคู่หน้านั่งแล้วเมื่อย ไม่ค่อยกระชับ

-          คันเร่งไฟฟ้ามีอาการดีเลย์

-          พวงมาลัยเบาเกินไป แม้ขับด้วยความเร็วสูง

10.   2020 Chevrolet Colorado X-Cab 2.5 LT เกียร์ธรรมดา (ประมาณ 340,000 – 380,000 บาท)

คงสงสัยว่าเข้าโผมาได้ยังไงกัน ทั้งที่แบรนด์เชฟโรเลตยุติการทำตลาดไปแล้ว อะไหล่จะหาได้หรือไม่? ฟังทางนี้ ถ้าต้องการรถกระบะ 2 ประตูแบบแคปเปิดได้เอาไว้ใช้งาน ทั้งใช้ในชีวิตประจำวันและใช้บรรทุกขนส่ง ราคาค่าตัวอยู่ในช่วง 3 – 4 แสนบาท ช่วงเวลานี้เหมาะมากที่จะเลือก Chevrolet Colorado เพราะเป็นรุ่นสุดท้ายปลายโมเดลที่ทำตลาด จัดออปชั่นระบบความปลอดภัยมาแบบคุ้ม ๆ เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นนี้แบบเดิม ๆ ค่อนข้างทนมาก แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที แรงบิดจัดจ้านในรอบต่ำเหมาะกับการบรรทุก ขนส่ง เกียร์ธรรมดาไม่มีปัญหาไม่งอแง

ส่วนเรื่องของอะไหล่ที่หลายคนกังวล ไม่มีปัญหา! ปกติแล้วรถแต่ละรุ่นที่ทำตลาดจะต้องมีสต็อคอะไหล่ไว้อย่างน้อย 15 ปี แม้ว่าเจนเนอรัล มอเตอร์ จะยุติการทำตลาดในไทย แต่ยังมี เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ที่เปิดดำเนินกิจการ ดูแลลูกค้าเชฟโรเลตในเรื่องของการเซอร์วิสและอะไหล่เอาไว้ นอกจากนี้ ยังใช้ชิ้นส่วนร่วมกันกับอีซูซุได้อีกด้วย ถ้าใครคิดจะหารถกระบะเอาไว้ทำมาหากิน ราคาไม่แรง Chevrolet Colorado ถือว่าไม่ขี่เหร่เลยนะ

จุดเด่น

จุดด้อย

-          แรงบิดสูงเหมาะกับการบรรทุก

-          ห้องโดยสารออกแบบทันสมัย

-          วัสดุแผงคอนโซลดูแข็งแรง เสริมด้วยวัสดุแบบ Soft Touch

-          อะไหล่หาง่ายและหาทดแทนได้เยอะ

-          ค่าบำรุงรักษาต่ำ

-          ราคาขายต่อตกเยอะ

-          อะไหล่แท้บางอย่างราคาสูง

-          พวงมาลัยไฮดรอริกค่อนข้างหนัก

ทั้งหมดคือ Top 10 รถมือสองสุดคุ้มงบไม่เกิน 4 แสนบาท ที่ CARS24 ขอแนะนำ และอยากจะแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าถูกใจรถมือสองรุ่นไหนแล้ว อยากให้เปลี่ยนของเหลวทั้งหมดภายในรถเป็นการเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ โดยเฉพาะน้ำมันเกียร์ ควรเลือกน้ำมันเกียร์ที่มีคุณภาพ ควรเป็นของศูนย์ เลือกเกรดสูงราคาอาจจะแรงหน่อย แต่คุ้มกว่าแน่นอน ขอให้สนุกกับการเลือกรถมือสองจาก CARS24

อ่านเพิ่มเติม