แบตเตอรี่นั้นสำคัญไฉน! เทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกแบตเตอรี่ที่เหมาะกับรถยนต์ของคุณ

เคยสงสัยมั้ยว่า เมื่อไหร่ควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์? อาการแบบไหนที่ฟ้องว่ารถมีอาการแบตฯ อ่อน แบตฯ เสื่อม หรือแบตฯ ใกล้พัง เพราะคงไม่ดีแน่หากปล่อยให้แบตฯ หมดกลางทางในวันที่ฝนตก รถติด เดินทางไกล หรือต้องเร่งรีบให้ทันเวลา อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์ทำชีวิตพัง ฟังคำแนะนำและเทคนิคง่าย ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถของ CARS24 กันดีกว่า
แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์ที่เป็นแหล่งกระแสไฟฟ้าอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญ ที่ทำให้รถยนต์โลดแล่นต่อไปได้ แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง และระบบต่างๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงเพื่อให้ทำงานได้

หากรถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ ก็เปรียบเสมือนสมาร์ทโฟนที่แบตหมด ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษ หรือเปรียบกับทีวีที่อยู่กลางป่า ซึ่งไม่มีปลั้กไฟให้เสียบ แล้วมันจะดูได้อย่างไรกันเล่า หรือไฟฉายที่ไม่มีถ่าน นั่นมันกระบองดี ๆ นี่เอง

ตั้งแต่สตาร์ทไปจนกระทั่งเปิดไฟหน้า ไฟท้าย วิทยุ หน้าจอทัชสกรีน แอร์ กระจกไฟฟ้า ฯลฯ ระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ล้วนต้องพึ่งพาไฟฟ้าทั้งสิ้น เห็นความสำคัญของแบตเตอรี่กันแล้วใช่ไหมครับ พูดง่าย ๆ ว่าถ้ารถไม่มีกระแสไฟฟ้าก็จะไม่สามารถใช้งานได้นั่นเอง แบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่เราไม่ควรมองข้าม และแบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมนำมาใช้งานมีกี่ชนิดกันล่ะ เอ้า! ไปดูกัน

แบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมอย่างแพร่หลายมี 4 แบบด้วยกัน

1. แบตเตอรี่แบบแห้ง

-         แบตเตอรี่ชนิดนี้ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคนี้

-         ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น

-         แบตเตอรี่ประเภทนี้ยังคงมีของเหลวอยู่ภายใน (ตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยม และตะกั่วในแผ่นเซลล์)

-         สามารถเช็คระดับน้ำกรด และ ระดับไฟ อายุใช้งาน การรับประกันโดยมองผ่านตาแมวสำหรับตรวจเช็ค ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบของบริษัทผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ

-         ดูแลรักษาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก

-         สามารถทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุได้นานกว่าแบตประเภทเติมน้ำกลั่น

-         แบตเตอรี่รถยนต์แห้ง มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าแบบน้ำ แอมป์สูงกว่า ค่า CCA เยอะกว่า

-         ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ

2. แบตเตอรี่แบบน้ำ

-         เป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบดั้งเดิม ซึ่งจะต้องทำการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟเองเสมอ

-         ต้องเติมและดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยต้องเดือนละครั้ง

-         จะมีฝาปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วเกินไป

-         ทนความร้อนได้ดี

-         เหมาะกับรถที่ต้องวิ่งนานๆ ใช้งานเยอะและเป็นประจำ

-         มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด

-         ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแล

-         มีราคาที่ถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง มีความทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ อายุการใช้งานของแบตแบบน้ำ จะนานกว่า แบตแบบแห้ง ยิ่งถ้าหากมีการดูแลรักษาอย่างดี อาจจะนานกว่าแบตแห้ง 3–5 เดือน แต่ต้องดูแลระดับน้ำสม่ำเสมอ ถ้าน้ำขาดแบตก็จะเสียได้ ต้องคอยเช็คดูแลการประจุและต้องเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เนื่องจากมีการระเหยหรือโอกาสที่จะรั่วหกได้ ค่าแอมป์ และ ค่า CCA น้อยกว่าแบตเตอรี่แห้ง

3. แบตเตอรี่กึ่งแห้ง

-         คล้ายแบตเตอรี่แห้ง แต่แบตเตอรี่กึ่งแห้งยังมีรูให้เติมน้ำกลั่นอยู่

-         ดูแลน้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำ เติมน้ำกลั่นเพียง 1-2 ครั้งต่อปีเท่านั้น

-         ราคาจะถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง

-         มีความทนทานสูง เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล

-         ต้องได้รับการตรวจเช็กสภาพ และดูระดับน้ำสม่ำเสมอ

4. แบตเตอรี่ไฮบริด

-         แบตเตอรี่รถยนต์ผสมระหว่าง ‘แบตเตอรี่กึ่งแห้ง’ และ ‘แบตเตอรี่น้ำ’

-         ตรวจเช็คระดับน้ำได้ง่าย เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์น้ำทั่วไป

-         มีค่าการสตาร์ทที่สูงกว่า และไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่ากับแบตเตอรี่น้ำ

-         ในอนาคตแบตเตอรี่ไฮบริด จะเข้ามาแทนที่แบตเตอรี่น้ำทั้งหมด

-         ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง

-         ดูแลรักษาง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ แต่ยังต้องมีการเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่อยู่

รู้ได้อย่างไรว่า แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ และถึงเวลาต้องเปลี่ยน!

-         เมื่อแบตเตอรี่ใช้งานมานานกว่า 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี

-         ไฟหน้าไม่สว่าง

-         ตอนเช้าสตาร์ทรถติดยาก

-         กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง

-         ระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถทำงานช้าลง

-         ไดสตาร์ทไม่สามารถทำงานได้

-         แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม

-         สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำ เมื่อมีอาการต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย ๆ หรือน้ำแห้งไวกว่าปกติ

วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นานที่สุด

-         ตรวจเช็คไดร์ชาร์จ เมื่อระบบไฟอ่อน

-         ตรวจเช็คทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ดูว่ามีคราบขี้เกลือไหม

-         ตาแมวของแบตเตอรี่แห้งใช้ดูกำลังไฟ โดย สีน้ำเงิน ไฟดีอยู่

-         สีส้มแดง แบตเตอรี่มีปัญหาจะต้องชาร์ตไฟหรือเติมน้ำกลั่น

-         สีขาว แบตเตอรี่เสียหรือเสื่อมคุณภาพ ต้องเปลี่ยนลูกใหม่

-         สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำต้องตรวจเช็คน้ำกลั่นสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง

-         ไม่เติมน้ำกลั่นให้เกินกว่าขีดสูงสุด และต่ำกว่าขีดต่ำสุด

-         ตรวจวัดระดับกระแสไฟแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ

ทำความรู้จักกับแบตเตอรี่รถยนต์กันไปแล้ว อย่าลืมหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่กันบ่อย ๆ นะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นแบตฯ ชนิดไหนก็ตาม เมื่อมันหมดสภาพ หรือไม่ได้รับการดูแลมันก็พังได้ทั้งนั้น และถ้ารถยนต์สตาร์ทไม่ติด ให้เช็กแบตเตอรี่ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ บางทีเราอาจจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้หรือแบตฯ เสื่อมก็เป็นได้ แต่ถ้าเช็กแล้วแบตฯ ยังมีไฟเต็มเปี่ยม นั่นแปลว่าเตรียมเรียกช่างมาดูได้เลยครับผม

แต่บอกเลยว่าถอยรถกับ Cars24 แบตเตอรี่ใหม่เอี่ยมไฟเต็ม สตาร์ทติดง่าย เร่งได้เต็มกำลังทุกคันแน่นอน