แบตเตอรี่นั้นสำคัญไฉน! เทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกแบตเตอรี่ที่เหมาะกับรถยนต์ของคุณ

CARS24
CARS24
| อ่าน 1 นาที

เคยสงสัยมั้ยว่า เมื่อไหร่ควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์? อาการแบบไหนที่ฟ้องว่ารถมีอาการแบตฯ อ่อน แบตฯ เสื่อม หรือแบตฯ ใกล้พัง เพราะคงไม่ดีแน่หากปล่อยให้แบตฯ หมดกลางทางในวันที่ฝนตก รถติด เดินทางไกล หรือต้องเร่งรีบให้ทันเวลา อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์ทำชีวิตพัง ฟังคำแนะนำและเทคนิคง่าย ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถของ CARS24 กันดีกว่า
แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์ที่เป็นแหล่งกระแสไฟฟ้าอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญ ที่ทำให้รถยนต์โลดแล่นต่อไปได้ แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง และระบบต่างๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงเพื่อให้ทำงานได้

หากรถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ ก็เปรียบเสมือนสมาร์ทโฟนที่แบตหมด ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษ หรือเปรียบกับทีวีที่อยู่กลางป่า ซึ่งไม่มีปลั้กไฟให้เสียบ แล้วมันจะดูได้อย่างไรกันเล่า หรือไฟฉายที่ไม่มีถ่าน นั่นมันกระบองดี ๆ นี่เอง

ตั้งแต่สตาร์ทไปจนกระทั่งเปิดไฟหน้า ไฟท้าย วิทยุ หน้าจอทัชสกรีน แอร์ กระจกไฟฟ้า ฯลฯ ระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ล้วนต้องพึ่งพาไฟฟ้าทั้งสิ้น เห็นความสำคัญของแบตเตอรี่กันแล้วใช่ไหมครับ พูดง่าย ๆ ว่าถ้ารถไม่มีกระแสไฟฟ้าก็จะไม่สามารถใช้งานได้นั่นเอง แบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่เราไม่ควรมองข้าม และแบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมนำมาใช้งานมีกี่ชนิดกันล่ะ เอ้า! ไปดูกัน

แบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมอย่างแพร่หลายมี 4 แบบด้วยกัน

1. แบตเตอรี่แบบแห้ง

-         แบตเตอรี่ชนิดนี้ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคนี้

-         ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น

-         แบตเตอรี่ประเภทนี้ยังคงมีของเหลวอยู่ภายใน (ตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยม และตะกั่วในแผ่นเซลล์)

-         สามารถเช็คระดับน้ำกรด และ ระดับไฟ อายุใช้งาน การรับประกันโดยมองผ่านตาแมวสำหรับตรวจเช็ค ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบของบริษัทผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ

-         ดูแลรักษาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก

-         สามารถทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุได้นานกว่าแบตประเภทเติมน้ำกลั่น

-         แบตเตอรี่รถยนต์แห้ง มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าแบบน้ำ แอมป์สูงกว่า ค่า CCA เยอะกว่า

-         ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ

2. แบตเตอรี่แบบน้ำ

-         เป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบดั้งเดิม ซึ่งจะต้องทำการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟเองเสมอ

-         ต้องเติมและดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยต้องเดือนละครั้ง

-         จะมีฝาปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วเกินไป

-         ทนความร้อนได้ดี

-         เหมาะกับรถที่ต้องวิ่งนานๆ ใช้งานเยอะและเป็นประจำ

-         มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด

-         ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแล

-         มีราคาที่ถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง มีความทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ อายุการใช้งานของแบตแบบน้ำ จะนานกว่า แบตแบบแห้ง ยิ่งถ้าหากมีการดูแลรักษาอย่างดี อาจจะนานกว่าแบตแห้ง 3–5 เดือน แต่ต้องดูแลระดับน้ำสม่ำเสมอ ถ้าน้ำขาดแบตก็จะเสียได้ ต้องคอยเช็คดูแลการประจุและต้องเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เนื่องจากมีการระเหยหรือโอกาสที่จะรั่วหกได้ ค่าแอมป์ และ ค่า CCA น้อยกว่าแบตเตอรี่แห้ง

3. แบตเตอรี่กึ่งแห้ง

-         คล้ายแบตเตอรี่แห้ง แต่แบตเตอรี่กึ่งแห้งยังมีรูให้เติมน้ำกลั่นอยู่

-         ดูแลน้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำ เติมน้ำกลั่นเพียง 1-2 ครั้งต่อปีเท่านั้น

-         ราคาจะถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง

-         มีความทนทานสูง เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล

-         ต้องได้รับการตรวจเช็กสภาพ และดูระดับน้ำสม่ำเสมอ

4. แบตเตอรี่ไฮบริด

-         แบตเตอรี่รถยนต์ผสมระหว่าง ‘แบตเตอรี่กึ่งแห้ง’ และ ‘แบตเตอรี่น้ำ’

-         ตรวจเช็คระดับน้ำได้ง่าย เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์น้ำทั่วไป

-         มีค่าการสตาร์ทที่สูงกว่า และไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่ากับแบตเตอรี่น้ำ

-         ในอนาคตแบตเตอรี่ไฮบริด จะเข้ามาแทนที่แบตเตอรี่น้ำทั้งหมด

-         ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง

-         ดูแลรักษาง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ แต่ยังต้องมีการเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่อยู่

รู้ได้อย่างไรว่า แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ และถึงเวลาต้องเปลี่ยน!

-         เมื่อแบตเตอรี่ใช้งานมานานกว่า 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี

-         ไฟหน้าไม่สว่าง

-         ตอนเช้าสตาร์ทรถติดยาก

-         กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง

-         ระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถทำงานช้าลง

-         ไดสตาร์ทไม่สามารถทำงานได้

-         แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม

-         สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำ เมื่อมีอาการต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย ๆ หรือน้ำแห้งไวกว่าปกติ

วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นานที่สุด

-         ตรวจเช็คไดร์ชาร์จ เมื่อระบบไฟอ่อน

-         ตรวจเช็คทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ดูว่ามีคราบขี้เกลือไหม

-         ตาแมวของแบตเตอรี่แห้งใช้ดูกำลังไฟ โดย สีน้ำเงิน ไฟดีอยู่

-         สีส้มแดง แบตเตอรี่มีปัญหาจะต้องชาร์ตไฟหรือเติมน้ำกลั่น

-         สีขาว แบตเตอรี่เสียหรือเสื่อมคุณภาพ ต้องเปลี่ยนลูกใหม่

-         สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำต้องตรวจเช็คน้ำกลั่นสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง

-         ไม่เติมน้ำกลั่นให้เกินกว่าขีดสูงสุด และต่ำกว่าขีดต่ำสุด

-         ตรวจวัดระดับกระแสไฟแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ

ทำความรู้จักกับแบตเตอรี่รถยนต์กันไปแล้ว อย่าลืมหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่กันบ่อย ๆ นะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นแบตฯ ชนิดไหนก็ตาม เมื่อมันหมดสภาพ หรือไม่ได้รับการดูแลมันก็พังได้ทั้งนั้น และถ้ารถยนต์สตาร์ทไม่ติด ให้เช็กแบตเตอรี่ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ บางทีเราอาจจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้หรือแบตฯ เสื่อมก็เป็นได้ แต่ถ้าเช็กแล้วแบตฯ ยังมีไฟเต็มเปี่ยม นั่นแปลว่าเตรียมเรียกช่างมาดูได้เลยครับผม

แต่บอกเลยว่าถอยรถกับ Cars24 แบตเตอรี่ใหม่เอี่ยมไฟเต็ม สตาร์ทติดง่าย เร่งได้เต็มกำลังทุกคันแน่นอน

เคยสงสัยมั้ยว่า เมื่อไหร่ควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์? อาการแบบไหนที่ฟ้องว่ารถมีอาการแบตฯ อ่อน แบตฯ เสื่อม หรือแบตฯ ใกล้พัง เพราะคงไม่ดีแน่หากปล่อยให้แบตฯ หมดกลางทางในวันที่ฝนตก รถติด เดินทางไกล หรือต้องเร่งรีบให้ทันเวลา อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์ทำชีวิตพัง ฟังคำแนะนำและเทคนิคง่าย ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถของ CARS24 กันดีกว่า
แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์ที่เป็นแหล่งกระแสไฟฟ้าอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญ ที่ทำให้รถยนต์โลดแล่นต่อไปได้ แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง และระบบต่างๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงเพื่อให้ทำงานได้

หากรถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ ก็เปรียบเสมือนสมาร์ทโฟนที่แบตหมด ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษ หรือเปรียบกับทีวีที่อยู่กลางป่า ซึ่งไม่มีปลั้กไฟให้เสียบ แล้วมันจะดูได้อย่างไรกันเล่า หรือไฟฉายที่ไม่มีถ่าน นั่นมันกระบองดี ๆ นี่เอง

ตั้งแต่สตาร์ทไปจนกระทั่งเปิดไฟหน้า ไฟท้าย วิทยุ หน้าจอทัชสกรีน แอร์ กระจกไฟฟ้า ฯลฯ ระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ล้วนต้องพึ่งพาไฟฟ้าทั้งสิ้น เห็นความสำคัญของแบตเตอรี่กันแล้วใช่ไหมครับ พูดง่าย ๆ ว่าถ้ารถไม่มีกระแสไฟฟ้าก็จะไม่สามารถใช้งานได้นั่นเอง แบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่เราไม่ควรมองข้าม และแบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมนำมาใช้งานมีกี่ชนิดกันล่ะ เอ้า! ไปดูกัน

แบตเตอรี่รถยนต์ที่นิยมอย่างแพร่หลายมี 4 แบบด้วยกัน

1. แบตเตอรี่แบบแห้ง

-         แบตเตอรี่ชนิดนี้ที่เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคนี้

-         ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น

-         แบตเตอรี่ประเภทนี้ยังคงมีของเหลวอยู่ภายใน (ตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยม และตะกั่วในแผ่นเซลล์)

-         สามารถเช็คระดับน้ำกรด และ ระดับไฟ อายุใช้งาน การรับประกันโดยมองผ่านตาแมวสำหรับตรวจเช็ค ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบของบริษัทผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ

-         ดูแลรักษาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก

-         สามารถทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุได้นานกว่าแบตประเภทเติมน้ำกลั่น

-         แบตเตอรี่รถยนต์แห้ง มีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าแบบน้ำ แอมป์สูงกว่า ค่า CCA เยอะกว่า

-         ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ

2. แบตเตอรี่แบบน้ำ

-         เป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบดั้งเดิม ซึ่งจะต้องทำการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟเองเสมอ

-         ต้องเติมและดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยต้องเดือนละครั้ง

-         จะมีฝาปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วเกินไป

-         ทนความร้อนได้ดี

-         เหมาะกับรถที่ต้องวิ่งนานๆ ใช้งานเยอะและเป็นประจำ

-         มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด

-         ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแล

-         มีราคาที่ถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง มีความทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ อายุการใช้งานของแบตแบบน้ำ จะนานกว่า แบตแบบแห้ง ยิ่งถ้าหากมีการดูแลรักษาอย่างดี อาจจะนานกว่าแบตแห้ง 3–5 เดือน แต่ต้องดูแลระดับน้ำสม่ำเสมอ ถ้าน้ำขาดแบตก็จะเสียได้ ต้องคอยเช็คดูแลการประจุและต้องเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เนื่องจากมีการระเหยหรือโอกาสที่จะรั่วหกได้ ค่าแอมป์ และ ค่า CCA น้อยกว่าแบตเตอรี่แห้ง

3. แบตเตอรี่กึ่งแห้ง

-         คล้ายแบตเตอรี่แห้ง แต่แบตเตอรี่กึ่งแห้งยังมีรูให้เติมน้ำกลั่นอยู่

-         ดูแลน้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำ เติมน้ำกลั่นเพียง 1-2 ครั้งต่อปีเท่านั้น

-         ราคาจะถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง

-         มีความทนทานสูง เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล

-         ต้องได้รับการตรวจเช็กสภาพ และดูระดับน้ำสม่ำเสมอ

4. แบตเตอรี่ไฮบริด

-         แบตเตอรี่รถยนต์ผสมระหว่าง ‘แบตเตอรี่กึ่งแห้ง’ และ ‘แบตเตอรี่น้ำ’

-         ตรวจเช็คระดับน้ำได้ง่าย เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์น้ำทั่วไป

-         มีค่าการสตาร์ทที่สูงกว่า และไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเท่ากับแบตเตอรี่น้ำ

-         ในอนาคตแบตเตอรี่ไฮบริด จะเข้ามาแทนที่แบตเตอรี่น้ำทั้งหมด

-         ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง

-         ดูแลรักษาง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ แต่ยังต้องมีการเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่อยู่

รู้ได้อย่างไรว่า แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ และถึงเวลาต้องเปลี่ยน!

-         เมื่อแบตเตอรี่ใช้งานมานานกว่า 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี

-         ไฟหน้าไม่สว่าง

-         ตอนเช้าสตาร์ทรถติดยาก

-         กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง

-         ระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถทำงานช้าลง

-         ไดสตาร์ทไม่สามารถทำงานได้

-         แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม

-         สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำ เมื่อมีอาการต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย ๆ หรือน้ำแห้งไวกว่าปกติ

วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นานที่สุด

-         ตรวจเช็คไดร์ชาร์จ เมื่อระบบไฟอ่อน

-         ตรวจเช็คทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ดูว่ามีคราบขี้เกลือไหม

-         ตาแมวของแบตเตอรี่แห้งใช้ดูกำลังไฟ โดย สีน้ำเงิน ไฟดีอยู่

-         สีส้มแดง แบตเตอรี่มีปัญหาจะต้องชาร์ตไฟหรือเติมน้ำกลั่น

-         สีขาว แบตเตอรี่เสียหรือเสื่อมคุณภาพ ต้องเปลี่ยนลูกใหม่

-         สำหรับแบตเตอรี่แบบน้ำต้องตรวจเช็คน้ำกลั่นสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง

-         ไม่เติมน้ำกลั่นให้เกินกว่าขีดสูงสุด และต่ำกว่าขีดต่ำสุด

-         ตรวจวัดระดับกระแสไฟแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ

ทำความรู้จักกับแบตเตอรี่รถยนต์กันไปแล้ว อย่าลืมหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่กันบ่อย ๆ นะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นแบตฯ ชนิดไหนก็ตาม เมื่อมันหมดสภาพ หรือไม่ได้รับการดูแลมันก็พังได้ทั้งนั้น และถ้ารถยนต์สตาร์ทไม่ติด ให้เช็กแบตเตอรี่ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ บางทีเราอาจจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้หรือแบตฯ เสื่อมก็เป็นได้ แต่ถ้าเช็กแล้วแบตฯ ยังมีไฟเต็มเปี่ยม นั่นแปลว่าเตรียมเรียกช่างมาดูได้เลยครับผม

แต่บอกเลยว่าถอยรถกับ Cars24 แบตเตอรี่ใหม่เอี่ยมไฟเต็ม สตาร์ทติดง่าย เร่งได้เต็มกำลังทุกคันแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม